สถิติเกี่ยวกับอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆนั้น
บ่งชี้ว่า ส่วนใหญ่เป็นปัญหา ของคนในต่างจังหวัด คนขับขี่มอเตอร์ไซค์ ที่มักไม่สวมหมวกนิรภัย
เมาแล้วมักขับ หรือวัยรุ่นที่คึกคะนองชอบขับขี่หรือซ้อนท้ายจักรยานยนต์สร้างความรำคาญบนท้องถนน มากกว่า ที่จะเป็นปัญหาของคนในกรุงเทพฯ คนในเมืองหรือผู้ใช้รถยนต์
ข้อมูลในปี 2551-2552 ระบุว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเกิดขึ้น บนถนนในเขตชนบท 47-51% ตามด้วยทางหลวงแผ่นดิน
27-29% และถนนในเขตเมือง 20-22%
ประเภทของยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลมากที่สุด คือ รถจักรยานยนต์ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด และก็มีสาเหตุมาจาก การเมาแล้วขับ การไม่สวมหมวกนิรภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดในแถบภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
ในปี 2552 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนจำนวน 10,717 คน หรือเฉลี่ยวันละ 30 คน ขณะที่ผู้บาดเจ็บที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกว่าปีละ 1 แสนคน โดย 6% ของผู้บาดเจ็บกลายเป็นผู้พิการ เฉลี่ยในทุก 2 ชั่วโมงจะมีผู้พิการเพิ่มขึ้น 1 คน
แม้ตัวเลขนี้จะดูน่ากลัวมาก แต่เนื่องจาก70-80% หรือการเสียชีวิตประมาณวันละ 24 คน หรือในแต่ละชั่วโมงมีผู้เสียชีวิต 1 คนนั้น เกิดจากขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์
เมื่อพวกเราไม่ใช่วัยรุ่นที่ชอบดื่มเหล้าแล้วขับขี่หรือนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ หรือคึกคะนองขับขี่ฉวัดเฉวียนอยู่บนถนนในต่างจังหวัด ความน่าจะเป็น ที่เราจะประสบอุบัติก็น่าจะต่ำกว่าเฉลี่ยมากๆอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมเห็นว่าความเข้าใจเช่นนี้ นั้นถูกต้อง แต่อาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาด ได้ ว่า
เมื่อมีความเสี่ยงต่ำหรือ ความน่าจะเป็นต่ำ ที่จะเกิดความสูญเสียนั้น จึงไม่จำเป็น ต้องเตรียมการ เพื่อรับมือกับความสูญเสียนั้นไว้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้เป็นอุบัติเหตุรถนักท่องเที่ยว ที่ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดเป็นคนไทยพลิกคว่ำในขณะกำลังเดินทางกลับจากเกนติ้งไฮแลนด์ สถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อของมาเลเซีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนนับหลายสิบคน ผมเชื่อว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ที่มี ความเสี่ยงสูงที่จะประสบอุบัติเหตุเลย
ในเบื้องต้นสันนิษฐานกันว่า เกิดขึ้นเนื่องจากความบกพร่องของตัวรถ ที่ถูกดัดแปลงขึ้นอย่างผิดกฎหมายเพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้มากขึ้นเป็น 2 เท่า
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็คงไม่น่าประหลาดใจนัก แต่ในประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเช่นมาเลเซีย โอกาสที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น มีน้อยกว่ามาก แต่เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นแล้ว แม้ในประเทศที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆเลย
โอกาสความน่าจะเป็น ที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นอาจมีเพียงไม่ถึง 1% แต่เมื่อเกิดขึ้นความเสียหายเฉพาะทางเศรษฐกิจหรือการเงินอาจเป็น 50-100% ของครอบครัวนั้นๆเลยทีเดียว ส่วนความเสียหายทางจิตใจนั้นรุนแรงและหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับปุถุชนอย่างเราๆอยู่แล้ว
อีกกรณีหนึ่ง เมื่อค่ำวันที่ 27 ธันวาคม 2553 นี้ รถเก๋งHonda Civic สีขาวชนท้ายรถตู้โดยสารซึ่งวิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์-รังสิตถึงบีทีเอสจตุจักรบนทางด่วนยกระดับอุตราภิมุขหรือทางด่วนโทลล์เวย์ขาเข้า แขวงลาดยาว เขตจตุจักร ช่วงระหว่างหน้าสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ถึงประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำให้ผู้โดยสารรถตู้ตกลงมาจากโทลล์เวย์เสียชีวิต 8 ราย บาดเจ็บอีก 7 ราย เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 21.45 น.
ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจนว่าทำไมหญิงสาวคนนั้นจึงขับรถพุ่งชนท้ายรถตู้ และทำไมผลความเสียหายจึงร้ายแรงถึงเพียงนี้
ไม่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้จะเกิดขึ้นด้วยเหตุใดก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งผู้ขับรถชนท้าย ผู้บาดเจ็บและญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตต่างก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงด้วยกันทั้งนั้น
ผมเชื่อว่าไม่มีใครในรถตู้คันนั้นหรือฝ่ายผู้ที่ขับชนท้าย คิดว่าชีวิตของตนมีความเสี่ยงอะไรมากมาย แต่เหตุการณ์อย่างนี้ก็เกิดขึ้นกับพวกเขาจนได้
เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ บาดแผลทางจิตใจก็ต้องอาศัยเวลาช่วยเยียวยาให้ผู้เกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบค่อยๆสามารถปรับตัวรับกับเคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้น ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วไม่อาจฟื้นคืนกลับมาอีก หากแต่ผู้ที่ต้องพึ่งพิงพวกเขายังคงต้องดำเนินชีวิตอยู่ต่อไป ผู้ที่บาดเจ็บต้องการการรักษาพยาบาลที่ดีและเหมาะสม ถ้าบังเอิญเขาต้องพึ่งพาใครมาก่อนเกิดเหตุ ผู้บาดเจ็บหรือพิการก็เป็นภาระของคนๆนั้นมากยิ่งขึ้น ถ้าเขามีพ่อแม่ที่แก่เฒ่าหรือลูกเมียที่ต้องจุนเจืออยู่ คนเหล่านั้นก็ต้องกลายเป็นคนแก่ หญิงหม้ายและลูกกำพร้าไร้ที่พึ่งพาไปโดยทันที
นอกเหนือจากการช่วยกันรณรงค์ตักเตือนคนที่เรารู้จักไม่ให้ปฏิบัติตัวเช่นคนในกลุ่มเสี่ยงแล้ว สิ่งที่เราทำได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ป้องกันไม่ให้คนที่เรารักหรือรักเราต้องเจ็บปวดซ้ำซ้อนกับภาระทางการเงินหรือทางเศรษฐกิจ ที่ทับถมซ้ำเข้ามาหากต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นที่เกิดขึ้นกับผู้คนใน 2 เหตุการณ์นี้เลย
เราสามารถลดความน่าจะเป็นที่จะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงให้ต่ำลงได้ ด้วยการไม่ปฏิบัติตัวเช่นคนในกลุ่มเสี่ยง และสามารถลดความเสียหาย (ถ้าจะยังเกิดขึ้น แม้ได้ระมัดระวังอย่างเต็มที่แล้ว) ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการประกันภัยและการวางแผนทางการเงินที่ดี
ขอให้ผู้อ่านทุกท่าน เดินทางท่องเที่ยว และพักผ่อนในช่วงเทศกาลที่ใกล้จะมาถึงนี้ ด้วยความสุข สดใส รื่นเริง และที่สำคัญ ด้วยความปลอดภัย และปราศจากความกังวลใดๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น