วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

เก็บเงิน 3 ล้าน ภายใน 5 ปี ตอนนี้มีอยู่แล้ว 5 แสน และลงทุนเพิ่มได้เดือนละ 30,000 บาท ควรลงทุนอะไร อย่างไร ?


ผมอายุ 29 อยากมีเงินเก็บ 3,000,000 ใช้เวลาประมาณ 5-7 ปี 
ตอนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ เงินเดือน 30,000-35,000
ผมมีเงินเก็บ 500,000 บาท แต่เดือนหน้าผมจะไม่เก็บ
ผมจะให้พ่อไปซื้อกองทุนรวมสักกอง
และที่มองคือ CG-LTF บรรษัทภิบาลหุ้นระยะยาว แบบไม่จ่ายปันผล
ผมยอมรับความเสี่ยงได้ครับ
และ ตั้งใจจะซื้อทุกๆ เดือน เดือนละ 25,000-30,000 บาท 
ขอคำแนะนำหน่อยคร้าบผม

คำตอบ


ขอตอบเป็นลำดับไปดังนี้

1. ประเมินผลตอบแทนที่ต้องทำให้ได้เพื่อบรรลุเป้าหมาย

เนื่องจากให้ระยะเวลาบรรลุเป้าหมายมาเป็นช่วง คือ 5-7 ปี
ผมขอวางแผนให้ดูกรณีบรรลุเป้าภายใน 5 ปี โดยมีสรุปข้อมูลเพื่อวางแผนเงินลงทุนดังนี้ครับ
  • อะไร : เงินเก็บ
  • เท่าไร : 3,000,000 บาท
  • เมื่อไร : 5 ปี
  • เงินลงทุนตั้งต้น : 500,000 บาท
  • เงินลงทุนเพิ่ม : เดือนละ 25,000 – 30,000 บาท
ผมกด App เครื่องคิดเลขการเงิน หา “Rate
หรือ “อัตราผลตอบแทนที่ทำให้บรรลุเป้าหมาย” ได้ค่าดังนี้

หาผลตอบแทนที่คาดหวัง (กรณีลงทุนเพิ่มเดือนละ 25,000 บาท)
กรณีลงทุนเพิ่มเดือนละ 25,000 
ต้องได้ผลตอบแทนเฉลี่ยใน 5 ปี (60 เดือน) ที่ลงทุนเท่ากับ 12.50% ต่อปี

หาผลตอบแทนที่คาดหวัง (กรณีลงทุนเพิ่มเดือนละ 30,000 บาท)
กรณีลงทุนเพิ่มเดือนละ 30,000 
ต้องได้ผลตอบแทนเฉลี่ยใน 5 ปี (60 เดือน) ที่ลงทุนเท่ากับ 8.53% ต่อปี
ศึกษาเพิ่มเติม : How-to : วิธีใช้ App เครื่องคิดเลขการเงินใน Smart Phone และ Tablet 
จะเห็นว่า หากใส่เงินลงทุนมากขึ้น ผลตอบแทนที่จำเป็นต้องทำให้ได้ก็จะน้อยลง
ในที่นี้คือลดลงจาก 12.50% ต่อปี (เมื่อลงทุนเพิ่มเดือนละ 25,000 บาท)
มาเป็น 8.53% ต่อปี (เมื่อลงทุนเพิ่มเดือนละ 30,000 บาท)
ปกติแล้วถ้าผลตอบแทนทั้งสองค่ามัน “เป็นไปได้ภายในระยะเวลาที่ลงทุน
จะเลือกใช้ค่าไหน ก็คงอยู่ที่ความพอใจของเรา แต่ก็ต้องระวังไว้สักหน่อยว่า
ถ้าเลือกจะใส่เงินเพิ่มน้อย ก็คือคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ความเสี่ยงมันก็สูงตามไปด้วย ไม่ใช่จะได้ผลตอบแทนนั้นมาฟรีๆ 
แต่กับกรณีนี้ ซึ่งระยะเวลาการลงทุนไม่ได้ยาวมากคือแค่ 5 ปี
ผมคิดว่าการหวังผลตอบแทนที่ 12.5% ต่อปี เป็นอัตราที่สูงเกินไป
ซึ่งประเด็นของความคาดหวังไปในอนาคตนี้ ต่างคนก็เชื่อไม่เหมือนกัน
และผมก็เชื่อว่าไม่มีใครการันตีได้ 100% ว่าที่ตัวเองคาดนั้นถูกต้อง
เอาเป็นว่า ความเห็นส่วนผมคิดว่าสูงเกินไป
เพราะอะไรนั้น อยากให้ลองดูบทเรียนตอนนี้ข้างล่างนี้ดูนะครับ
แล้วจะเข้าใจว่า ทำไมผมจึงบอกว่า 12.5% ใน 5 ปีมันสูงไป
ศึกษาเพิ่มเติม : จัดพอร์ตกองทุนรวมเพื่อทุกเป้าหมายในชีวิต
เช่นกัน ดูแล้วก็จะเข้าใจด้วยว่าทำไมผมถึงมองว่า 8.53% ต่อปี ใน 5 ปี มันเป็นไปได้
ซึ่งในการวางแผนขั้นต่อๆ ไปนั้น ผมขอสรุปว่าเราจะ ลงทุนเริ่มต้น 500,000 บาท
และ ลงทุนเพิ่มเดือนละ 30,000 บาท โดย หวังผลตอบแทนที่ประมาณ 8-9% ต่อปี

2. เลือกเครื่องมือลงทุน

ด้วยการคาดหวังผลตอบแทนประมาณ 8-9% ต่อปี ในระยะ 5 ปี
จริงๆ แล้วก็มีหลายตัวเลือก ขึ้นอยู่กับขอบเขตความรู้ของเรานะครับ
เรียงจากเสี่ยงกลางๆ ไปหาเสี่ยงมากขึ้น ก็พอจะมีดังนี้
1) กองทุนที่พอจะหวังผลตอบแทน 8-9% ได้ แต่สูงกว่านั้นน่าจะยาก
  • กองทุนผสม (หรือผสมเอง) โดยมีหุ้นประมาณ 60% ส่วนที่เหลือเป็นตราสารหนี้
  • กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยกระจายลงทุนประมาณ 4-5 กอง
    แต่ต้องเลือกกองที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงพอสมควร เช่น 6-7%
    และควรเป็นกองที่มีโอกาสได้ Capital Gain จากราคาทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นด้วย
    ซึ่งหากไม่เลือกเอง ก็สามารถลงทุนผ่าน Fund of Property Fund ได้
กองทุนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ผมเชื่อว่า สามารถทยอยลงทุนสะสมไปเรื่อยๆ ตลอด 5 ปีได้
โดยไม่ต้องจัดการอะไรมากนัก ความหวือหวายังน้อยกว่ากลุ่มต่อไปที่จะแนะนำ
2) กองทุนที่พอจะหวังผลตอบแทน สูงกว่า 8-9% ได้ แต่มาพร้อมความผันผวนที่สูงขึ้นมาก
  • กองทุนหุ้น
  • กองทุนหุ้นต่างประเทศ
โดยจะเลือกเป็นกองทุนแบบเลียนแบบดัชนี (Index Fund) หรือแบบที่มุ่งเอาชนะดัชนี (Active Fund) ก็ได้
แต่ผมแนะนำว่ากองทุนกลุ่มนี้ต้องมีการจัดการเพิ่มเติมมากกว่ากลุ่มแรก
สาเหตุเพราะกลุ่มนี้เป็นหุ้น 100% ถ้า 5 ปีข้างหน้า ตลาดเป็นขาขึ้นตลอดมันคงดี
แต่คงคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะเกิดมีการตกหนักๆ ขึ้นมาบางปี
โดยเฉพาะไปตกเอาช่วงท้ายๆ คือ 1-2 ปีหลัง การลงทุนก็อาจไม่บรรลุเป้าหมายได้
การจัดการเพิ่มเติมที่ว่าก็เช่น
  • ติดตาม/ตรวจสอบ มูลค่าเงินลงทุนเทียบกับแผนอย่างใกล้ชิด
    ควรมีการคำนวณมูลค่าเงินลงทุนที่ควรจะเป็น ณ ระยะต่างๆ ไว้ เช่น ทุกๆ สิ้นปี
    ว่าถ้าทำได้ตามแผนจริงๆ เงินลงทุนควรจะเป็นเท่าไร
    โดยเมื่อลงทุนไปจริงๆ แล้ว หากผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นไปตามนั้น
    เราจะได้ปรับแก้ไขได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งนี้สามารถใช้ความรู้และ Excel จากวิดีโอตอน
    วางแผนการลงทุน : ลงทุนแบบยืดหยุ่น เงินเข้า/ออก ไม่สม่ำเสมอ
    เป็นตัวช่วยประมาณมูลค่าเงินลงทุนที่ควรจะเป็น ณ จุดต่างๆ ในอนาคตได้
  • ต้องมีกระบวนการจัดการความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
    ซึ่งความเสี่ยงในที่นี้ก็มีหลายจุด ที่ต้องพิจารณาจัดการ
    ยกตัวอย่างเช่น เงินก้อน 500,000 บาทที่จะเข้าซื้อครั้งแรก จะซื้ออย่างไร ?
    เพราะถ้าทุ่มซื้อไปทั้งก้อนทีเดียว ก็อาจพลาดซื้อในราคาสูงได้
    โดยเฉพาะระยะเวลาการลงทุน 5 ปีนั้นสั้น เกิดพลาดซื้อแพงเกินไป
    แล้วต้องติดอยู่ที่ราคาแพงนั้นอยู่นาน โดยถือลงทุนแล้วไม่ได้อะไร
    ก็คงเป็นเรื่องไม่ดี ทั้งนี้สามารถศึกษาวิธีจัดการความเสี่ยงนี้ได้จากบทเรียนตอน
    กลยุทธ์การเข้าลงทุน #1 : เงินก้อน (Lump-sum)
    นอกจากนั้นกรณีที่ลงทุนไปแล้ว ยังควรต้องมีการจัดการความเสี่ยงขาลง
    เพราะหุ้นนั้น บทจะตกก็อาจจะตกได้เยอะมาก
    ถ้าเวลาเรายาวๆ เป็น 10-20 ปี คงไม่ใช่ปัญหา อาจเป็นโอกาสด้วยซ้ำ
    แต่ด้วยเวลาสั้นๆ แบบนี้ เราไม่สามารถ “ดำดิ่ง” ลงไปกับหุ้นได้ขนาดนั้น
    ส่วนจะจัดการได้อย่างไรนั้น ขอให้ศึกษาเพิ่มได้จากบทเรียนตอนนี้
    กลยุทธ์การจำกัดความเสี่ยง : วิธี Trailing Stop

3. อ้าว… แล้วที่ถามว่าเลือก CG-LTF ดีมั๊ย เพราะจะซื้อในชื่อคุณพ่อล่ะ ?

CG-LTF ก็ถือเป็นกองทุนหุ้นครับ จะว่าไปก็เข้าข่ายสามารถใช้ลงทุนได้
แต่ผมขออนุญาตไม่ฟันธงกองทุนให้ ว่ากองไหนดี กองไหนไม่ดี
ขอให้ลองศึกษาหลักเกณฑ์การเลือกกองทุนในซีรี่ย์ “การลงทุนผ่านกองทุนรวม” ดู
ถ้าตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ต่างๆ ในนั้นแล้วโอเค ผมก็คิดว่าใช้ได้ครับ
แต่ผมมีประเด็นทางภาษีและข้อจำกัดของ LTF ต้องเตือนไว้ 
โดยขอให้พิจารณาในแง่ต่างๆ ดังนี้
  • คุณพ่อควรจะต้องมีภาระภาษีที่ต้องจ่าย
    ไม่งั้นก็จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการซื้อ LTF
    เพราะต้องแลกมากับเงื่อนไขการถือครอง 5 ปีปฏิทิน
    อ่านเพิ่มเติมที่ : หากไม่เสียภาษี ไม่จำเป็นต้องซื้อ RMF-LTF เหรอค่ะ ?
  • คุณพ่อมีเงินได้สูงพอที่จะซื้อ LTF ในวงเงินเยอะๆ ได้รึเปล่า
    เพราะสิทธิ์ให้ซื้อได้ปีละไม่เกิน 15% ของเงินได้ และรวมแล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
    ผมคำนวณคร่าวๆ คุณพ่อต้องมีเงินได้อย่างน้อยปีละ 3.33 ล้านบาท
    จึงจะสามารถซื้อได้เต็มวงเงินปีละ 5 แสนบาท ซึ่งก็ไม่น่าพอ
    โดยเฉพาะปีแรก เพราะลำพังเงินก้อนแรกก็ 5 แสนแล้ว
    ไหนจะต้องลงทุนเพิ่มอีกเดือนละ 30,000 หรือปีละ 360,000 อีก
  • เงินที่เพิ่งถูกทยอยลงทุนเพิ่มในปีหลังๆ จะยังไม่สามารถขายมาใช้ได้
    ภายในกำหนด 5 ปีที่ต้องการใช้เงิน เพราะยังติดเงื่อนไขทางภาษีของ LTF
    เช่น เงินที่ทยอยลงทุนในปีสุดท้าย จะต้องรอถึงอีก 5 ปีกว่าจะขายได้
  • มีโอกาสที่หลังปี 2559 เป็นต้นไป จะไม่มีกองทุน LTF ให้ลงทุน
    อ่านเพิ่มได้ที่ สารพัดคำถามเกี่ยวกับข่าวสารเรื่องการยกเลิกสิทธิ์ประโยชน์ LTF/RMF
  • กรณีต้องการลดความเสี่ยงลงในบางช่วง LTF จะไม่สามารถทำได้
    เพราะ LTF ต้องลงทุนหุ้นอยู่อย่างน้อยประมาณ 70% ของพอร์ต ซึ่งก็ยังถือว่าเสี่ยงสูงอยู่
อยากให้ลองพิจารณาประเด็นเหล่านี้ดูนะครับ ผมคิดว่าอาจจะใช้ LTF ไม่ได้ หรือถ้าใช้ได้ก็บางส่วน
เช่นลงทุนใน LTF จนเต็มสิทธิ์ที่คุณพ่อลงทุนได้ แล้วส่วนเกินใช้กองทุนเปิดทั่วไปเป็นต้น

4. ทิ้งท้าย

ถามสั้น ตอบยาว! เป็นแบบนี้เสมอครับ ตอบเท่านี้ก็ยังรู้สึกว่าไม่ครบเลย แต่ก็พิมพ์ไม่ไหวแล้ว
จะเห็นเลยนะครับว่า การลงทุนแบบจริงจังโดยมีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางนั้น
ไม่ใช่เรื่องซี้ซั้วมักง่าย ที่สามารถตอบกันได้แบบเอามันส์ โดยไม่ต้องคิดเยอะ
จริงๆ ยังต้องเข้าใจพื้นฐาน ทักษะ ฝีมือ ทัศนคติ และสถานะอื่นๆ ของผู้ถามเพิ่มอีก
เช่น เงิน 3 ล้านที่ต้องการใน 5 ปีเนี่ย จริงๆ แล้วต้องใช้เลยรึเปล่า
หรือว่าจริงๆ แล้วก็จะลงทุนต่อไปนั่นแหละ คืออยู่ได้ยาวกว่านั้น แต่แค่อยากให้ 5 ปี แตะ 3 ล้านเฉยๆ
เพราะถ้าโจทย์ตรงนี้เปลี่ยน คำตอบก็จะเปลี่ยนตามทันที คืออาจเสี่ยงได้มากขึ้นอีก เป็นต้น
แต่ที่พยายามเขียนตอบมาให้ทุกท่านได้อ่านร่วมกัน ก็เพื่อให้ได้เห็นวิธีคิด
เพื่อที่เราจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนของเราเองได้ โดยไม่ต้องถามมาทีละคน
หวังว่าจะอ่านเข้าใจ ตามทัน และเอาไปใช้ประโยชน์ได้กันนะครับ
ขอบคุณครับ -/\-
@Contact Me
คิดถึงการลงทุนการเงิน เงินออม สุขภาพ ลดหย่อนภาษี มากถึง 300,000฿ คิดถึงผม
พี พสิษฐ์ ปิยพนธ์ปยุต
ผู้จัดการบริหารด้านการเงินมืออาชีพ
0899955069
ID Line  PasitS55
http://line.me/ti/p/~PasitS55
Fan Page คลิ๊ก
https://m.facebook.com/PrudentialS55

How-to : วิธีใช้ App เครื่องคิดเลขการเงินใน Smart Phone และ Tablet

เลือกตัวเปรียบเทียบให้เหมาะ

บนเส้นทางการเตรียมตัวสู่อิสรภาพทางการเงิน
หรือความสำเร็จใดๆ ก็ตามในชีวิต
หากมัวเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
จะทำให้ทุกข์ได้ง่ายโดยไม่จำเป็น
เพราะคนเราเก่งไม่เท่ากัน และก็ฝันไม่เหมือนกัน
ได้เท่าเราฝัน เค้าอาจยังทุกข์อยู่
เราได้ยังไม่เท่าเค้า ก็อาจสุขจนพอใจเราแล้ว
ถ้าจะเปรียบเทียบ… ขอให้เทียบกับเป้าหมายของเราดีกว่า

วัดผลให้เป็น

จากจุดนี้ถึงจุดนั้น ยังเหลืออีกกี่ก้าว ?
กระจายจุดวัดผล (Milestone) ออกมาเป็นหน่วยย่อยๆ
เป้าหมายหลายสิบปี เป็นเงินหลายล้าน
เริ่มจากสองสามหมื่นแรกในปีที่หนึ่ง…
แสนแรกในปีที่สอง…
ครึ่งล้านในปีที่สาม…
ปีที่หนึ่งเราเดินได้ถูกรึยัง ?
ปีที่สองเราพร่องไปมั๊ย ?
ปีที่สามเราทำได้ดีกว่าคาดรึเปล่า ?
รู้ เข้าใจ ทบทวน ตัวเอง
แล้วปรับแก้ไปตามรายทาง
กว่าจะถึงความสำเร็จ
เราจะได้อะไรที่มากกว่าเงิน
มันคือ
ตัวตนใหม่ ที่ดี ที่เต็มขึ้น

เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ต่อไป

คิดถึงการลงทุนการเงิน เงินออม สุขภาพ ลดหย่อนภาษี มากถึง 300,000฿ คิดถึงผม
พี พสิษฐ์ ปิยพนธ์ปยุต
ผู้จัดการบริหารด้านการเงินมืออาชีพ
0899955069
ID Line  PasitS55
http://line.me/ti/p/~PasitS55
Fan Page คลิ๊ก
https://m.facebook.com/PrudentialS55

หากไม่เสียภาษี ไม่จำเป็นต้องซื้อ RMF-LTF รวมไปถึงประกันชีวิตเงินออมบำนาญสราญใจ เหรอค่ะ ?


ที่พูดกันว่าหากไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี อย่าซื้อกองทุน RMF-LTF รวมไปถึงประกันเงินออมบำนาญสราญใจ เพราะจะไม่คุ้มเหรอคะ
แม้จะหวังผลในระยะยาวก็ไม่ควรซื้อเหรอคะ ?

คำตอบ


ถ้าไม่มีภาระภาษีก็ไม่ควรซื้อครับ… แต่ไม่ใช่ว่าไม่ให้ลงทุนเลย
เพราะการเก็บออมและลงทุน ยังไงก็สำคัญ และควรทำให้เร็วที่สุด
แต่เราสามารถเลือกลงทุนใน กองทุนเปิดทั่วไป และ ประกันชีวิตในรูปแบบเงินออม ซึ่งมีความยืดหยุ่นกว่า RMF-LTF อาทิ
1. ตัวเลือกหลากหลาย
มีตั้งแต่เสี่ยงต่ำ => หวังได้น้อย
จนถึงเสียงสูง => แต่หวังได้เยอะ (บางอย่างเสียงมาก ก็อาจไม่ได้มาก ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีนะครับ)
2. ไม่มี Limit ว่าห้ามลงทุนเกินกี่บาทในหนึ่งปี
3. ไม่มีข้อจำกัดด้านระยะเวลาการถือครอง
จะซื้อแล้วถือแค่ไม่กี่วัน หรือจะถือไปจนถึง 10, 20, 30, 40 ปี ก็ได้
4. กำไรจากส่วนต่างราคา ไม่เสียภาษี ไม่ว่าจะถือสั้นถือยาว
(RMF-LTF ถ้าขายก่อนกำหนด ต้องเสียภาษีจากกำไรด้วย)
ซึ่งหากเราชอบกองทุน RMF-LTF กองไหน เราก็สามารถสอบถามกับ บลจ. ที่เราสนใจได้ครับ
ว่ามีกองทุนที่ใกล้เคียงกัน แต่เป็น
กองทุนเปิดทั่วไป และ ประกันชีวิตในรูปแบบเงินออม ให้ลงทุนหรือไม่ ส่วนใหญ่จะมีนะครับ
เท่านี้เราก็สามารถลงทุนได้ โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านภาษี ซึ่งก็สามารถหวังผลระยะยาวได้เช่นเดียวกับ RMF-LTF เช่นกัน
คิดถึงการลงทุนการเงิน เงินออม สุขภาพ ลดหย่อนภาษี มากถึง 300,000฿ คิดถึงผม
พี พสิษฐ์ ปิยพนธ์ปยุต
ผู้จัดการบริหารด้านการเงินมืออาชีพ
0899955069
ID Line  PasitS55
http://line.me/ti/p/~PasitS55
Fan Page คลิ๊ก
https://m.facebook.com/PrudentialS55




สารพัดคำถามเกี่ยวกับข่าวสารเรื่องการยกเลิกสิทธิ์ประโยชน์ LTF/RMF

Planning

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นครับ… อยู่ดีๆ ช่วงนี้ผมก็ได้รับคำถามซ้ำๆ จากหลายท่าน เกี่ยวกับเรื่อง
การยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
ซึ่งผมก็เห็นว่ามีผู้รู้หลายๆ ท่านได้พยายามให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ไปแล้ว…
ดังนั้น ก่อนอ่านคำตอบของผมด้านล่าง ผมจะรบกวนให้ลองไปอ่านบทความ “LTF และ RMF คงจะไม่ยกเลิกกันสินะ” ของพี่@TAXBugnoms ก่อน อาจจะเข้าใจจนไม่ต้องอ่านของผมเลยก็ได้ครับ

คำถาม-คำตอบ


ผมขอแยกคำถามที่ผมได้รับออกเป็นข้อๆ ไปดังนี้ครับ
ข้อ 1.
เรื่อง LTF/RMF ที่สรรพากรและหน่วยงานต่างๆ ออกมาให้ข้อมูลกับสื่อ ว่าจะสิ้นสุดลง หรือ จะถูกยกเลิกมันยังไงกันแน่ครับ ?
เนื่องจากเวลาสื่อต่างๆ ลงข่าวนั้น บางทีก็ใช้การพาดหัวด้วยคำสั้นๆ (ที่กระชับแต่น่าตกใจ) หรือเป็นการพูดรวมๆ  (เหมารวมทั้ง LTF และ RMF ไปด้วยกัน) หรือบางข่าวก็เป็นเพียง “ข้อคิดเห็น” ของเจ้าหน้าที่บางท่าน (ซึ่งยังไม่ใช่คำสั่งที่เป็นทางการ) ผนวกกับการที่ Social Media ยุคนี้สามารถส่งต่อข่าวสารต่างๆ ได้รวดเร็วมาก จึงทำเราสับสนได้มาก
ในประเด็นนี้ผมขอสรุปดังนี้ครับ
  • LTF จะสิ้นสุดการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีลงในปี 2560 ขยายความคือ สามารถซื้อเพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ภายในปี 2559 เป็นปีสุดท้ายครับ
  • สาเหตุของการสิ้นสุดการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้น ไม่ได้เกิดจากการถูกยกเลิก หรือถูกสั่งให้ยุติใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะกองทุน LTF นั้น มีการกำหนดอายุของสิทธิประโยชน์ทางภาษีไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ตอนที่มีการอนุญาตให้มีการออกกองทุนประเภทนี้ครับ
  • RMF ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ตามปกติ
  • นอกจากนั้น กองทุน RMF ไม่มีการกำหนดอายุของสิทธิประโยชน์ทางภาษีเอาไว้ นั่นก็คือสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนไปได้เรื่อยๆ จนกว่ากรมสรรพากร และภาครัฐจะมีการเปลี่ยนแปลง/ยกเลิกสิทธิ์นี้

ข้อ 2.
อย่างนั้น กรณี LTF ที่จะสิ้นสุดลง จะซื้อลดหย่อนได้อีกกี่ปี ปีไหนบ้างครับ ?
สามารถซื้อลดหย่อนได้อีก 3 ปี ได้แก่ ปี 2557, 2558 และ 2559 ครับ

ข้อ 3
กองทุน LTF สิ้นสุดอายุลงแบบนี้ พอปี 2560 เราก็ขายได้เลยใช่มั๊ยครับไม่ต้องรอ 5 ปีปฏิทินแล้ว  ?
เงื่อนไขการรับสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีนั้น กำหนดไว้ว่า ผู้ลงทุนในกองทุน LTF จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี 2 ส่วนคือ 1) การนำไปเป็นค่าลดหย่อนเมื่อซื้อ และ 2) การยกเว้นภาษีกำไรเมื่อขาย ก็ต่อเมื่อถือครองครบ 5 ปีปฏิทิน
ดังนั้น แม้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (ของเงินลงทุนใหม่) จะสิ้นสุดลง แต่ก้อนที่ซื้อไปแล้วก็ยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไป (เว้นแต่จะมีการออกประกาศ หรือออกกฎหมายอื่นๆ มาแก้ไข/ยกเว้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี)
ขยายความคือ
ก้อนที่ซื้อลงทุนในปี 2557 ต้องถือถึง 2561 ถึงขายได้อย่างถูกเงื่อนไขการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
ก้อนที่ซื้อลงทุนในปี 2558 ต้องถือถึง 2562 ถึงขายได้อย่างถูกเงื่อนไขการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
ก้อนที่ซื้อลงทุนในปี 2559 ต้องถือถึง 2563 ถึงขายได้อย่างถูกเงื่อนไขการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

ข้อ 4
คำว่าสิ้นสุดอายุลงนี้คือพอปี 2560 กองทุนจะปิดกอง หรือว่าจะกลายเป็นกองทุนเปิด เหมือนกองทุนหุ้นทั่วไปครับ แล้วอย่างนี้ ถ้าเรายังอยากลงทุนในกอง LTF เดิมจะซื้อเพิ่มได้มั๊ยครับ แล้วกำไรจากการซื้อนั้นไม่ต้องเสียภาษีเหมือนกองทุนหุ้นทั่วไปเลยใช่มั๊ย เพราะไม่ได้นำไปใช้ลดหย่อนแล้ว และก็ไม่มีเงื่อนไขการถือครอง 5 ปีปฏิทินแล้วด้วย ?
ด้วยขอบเขตความรู้ของผม ผมยังไม่เคยเห็นมีการเขียนแนวปฏิบัติ หรือระบุเงื่อนไขไว้ที่ไหน ว่ากรณี LTF สิ้นสุดการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีลง จะต้องดำเนินการอย่างไร ดังนั้น คำตอบต่อจากนี้จึงเป็น “ข้อคิดเห็น” ของผมล้วนๆ ซึ่ง “ไม่ใช่ข้อเท็จจริง” และไม่สามารถ และไม่ควรนำไปอ้างอิงอะไรทั้งสิ้นครับ
ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกก่อนว่า คำว่า “สิ้นสุดอายุการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี” นั้น ไม่ได้หมายความว่าให้ “ปิดหรือเลิกกองทุน” แต่อย่างใด…
ดังนั้น ผมคิดว่า กองทุน LTF เดิมก็จะยังอยู่ต่อไป อย่างน้อยๆ ก็ต้องยังอยู่ เพื่อให้คนที่เพิ่งซื้อลงทุนในปี 56, 57, 58, 59 ได้ถือจนครบเงื่อนไข 5 ปีปฏิทินเสียก่อน ส่วนในปี 2560 นั้น จะยังซื้อเพิ่มได้หรือไม่ หรือให้ขายออกได้อย่างเดียว ตรงนี้ผมไม่สามารถคาดเดาได้ และกรณีที่ให้ซื้อเพิ่มได้ กำไรจะไม่ต้องเสียภาษีเหมือนกองทุนหุ้นทั่วไปหรือไม่ ผมก็ไม่สามารถคาดเดาได้เช่นกันครับ
ดังนั้น ถ้าจะให้ความเห็นแบบปลอดภัยไว้ก่อน ผมก็คิดว่าถ้าอยากลงทุนจริง ก็เลือกกองหุ้นที่เป็นกองทุนเปิด ที่มีนโยบายคล้ายๆ กัน ของค่ายเดียวกัน เพื่อนำมาลงทุนแทนจะปลอดภัยกว่าครับ

ข้อ 5
เมื่อ LTF สิ้นสุดอายุลง ช่วงนั้น หรือก่อนหน้านั้น ผมควรจะต้องขายออกก่อนมั๊ยครับ ผมเข้าใจว่าถ้าคนแห่ขาย LTF ออกมา NAV ก็จะลดลง ถ้าเราไม่รีบขายก่อน ก็จะขาดทุน ?
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ราคา NAV เพิ่มหรือลดได้อย่างไร ถ้ามีเวลาผมอยากให้ดูวิดีโอตอนนี้ครับ
วิดีโอ ตอนที่ 2 : เข้าใจมูลค่าหน่วยลงทุนให้ถ่องแท้

โดยสรุป  NAV ของกองทุนจะเพิ่มหรือลดนั้น อยู่ที่ว่าสินทรัพย์ของกองทุน ซึ่งในที่นี้ก็คือ “หุ้น” ที่กองทุนถืออยู่โดยเฉลี่ยแล้วมีการปรับตัวขึ้น หรือปรับตัวลง ถ้าหุ้นที่ถือโดยเฉลี่ยปรับตัวขึ้น NAV ก็เพิ่มขึ้น ถ้าหุ้นที่ถือโดยเฉลี่ยปรับตัวลง NAV ก็ลงตาม กระบวนการนี้เราเรียกว่า “การบันทึกราคาตามมูลค่าตลาด (Mark-to-Market)
ถ้าอ่านดูเผินๆ ก็จะเห็นว่า การที่มีคนมาขายกองออกเยอะๆ ไม่น่าจะกระทบ NAV ได้
แต่ถ้าพิจารณาลึกๆ มันก็มีโอกาสครับ เพราะเมื่อมีคนแห่มาขายกองออกเยอะๆ กองทุนก็จำเป็นต้อง “ขายหุ้น” ที่ถืออยู่ออกไป เพื่อแปลงเป็นเงินสดนำมาคืนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ซึ่งก็มีโอกาสที่ “หุ้นบางตัว” โดยเฉพาะหุ้นที่มีขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่กองทุนหลายๆ กองนิยมลงทุน จะถูก “เทขาย” ออกพร้อมๆ กัน โดยที่ไม่มีแรงซื้อที่มากพอมารับการขายขนาดนั้นได้ (แรงซื้อยังสามารถมาได้จากนักลงทุนอีก 3 กลุ่มที่เหลือ คือ รายย่อย ต่างประเทศ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์)
ในกรณีแบบนี้ก็จะส่งผลให้ราคาหุ้นตกลง ดังนั้น เมื่อกองทุนเอาราคาหุ้นที่ตกลงมา Mark-to-Market ก็จะกลายเป็นว่า NAV ปรับลดลงตามไปด้วย
ซึ่งใน “ความเห็น” ของผมนั้นถ้ากองไหนถือหุ้นขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องที่ดี มีนักลงทุนหลายๆ กลุ่มเข้ามาลงทุน ก็ “น่าจะ” ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อีกอย่างหนึ่งก็คือ  การที่ผู้ถือหน่วยจะแห่ไปขาย LTF ออกนั้น ก็คงไม่ถึงกับมาขายออกจนหมดกองในทีเดียว เพราะก็ยังมีเงินบางส่วน ที่ยังไม่ครบกำหนดถือครอง ยังขายไม่ได้อยู่ รูปแบบการขายจึงอาจเป็นการทยอยขายมากกว่า นอกจากนั้นผู้จัดการกองทุน ก็อาจจะสามารถเตรียมการล่วงหน้า ด้วยการเพิ่มสัดส่วนเงินสดในพอร์ต หรือเปลี่ยนไปถือหุ้นที่มีสภาพคล่องดีๆ เอาไว้ ก่อนที่จะเกิดเหตุการแห่มาขายกองแบบนั้น
ถ้าให้พยายามเดาต่อไป ผมว่าก็จะเริ่มมั่วแล้วครับ ตอบมาขนาดนี้ ก็เกือบจะเป็น “หมอเดา” แล้ว… เพราะมันเป็นเรื่องอนาคตมาก… ผมหยุดไว้แค่นี้ดีกว่า
โดยสรุปก็คือ ถ้าเรากังวล LTF ก้อนไหนที่ครบกำหนดถือครองแล้ว เราก็อาจจะเปลี่ยนไปลงทุนกองทุนหุ้นทั่วไปกองอื่นๆ ที่มีนโยบายใกล้เคียงกับกอง LTF เดิม ซึ่งส่วนใหญ่ ในค่ายเดียวกันก็มักจะมีกองหุ้นที่มีนโยบายการลงทุนใกล้เคียงกับกอง LTF ที่เราลงอยู่ครับ

ข้อ 6
ผมเข้าใจถูกมั๊ยครับว่าสำหรับกองทุน RMF นั้น ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็สามารถลงทุน และใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามปกติ ?
เข้าใจถูกต้องครับ นับถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และภาวนาขออย่าให้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะขนาดมี RMF คนไทยยังลงทุนเพื่อเกษียณอายุกันน้อย ถ้าไม่มี ประเทศไทยในวันข้างหน้าคงจะน่าเป็นห่วง เพราะจะมีคนแก่ที่มีปัญหาการเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน
คิดถึงการลงทุนการเงิน เงินออม สุขภาพ ลดหย่อนภาษี มากถึง 300,000฿ คิดถึงผม
พี พสิษฐ์ ปิยพนธ์ปยุต
ผู้จัดการบริหารด้านการเงินมืออาชีพ
0899955069
ID Line  PasitS55
http://line.me/ti/p/~PasitS55
Fan Page คลิ๊ก
https://m.facebook.com/PrudentialS55


วิดีโอ เข้าใจมูลค่าหน่วยลงทุนให้ถ่องแท้

ราคา NAV เพิ่มหรือลดได้อย่างไร ถ้ามีเวลาผมอยากให้ดูวิดีโอตอนนี้ครับ
วิดีโอ ตอนที่ 2 : เข้าใจมูลค่าหน่วยลงทุนให้ถ่องแท้

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=P9U-7g3gCSs


คิดถึงการลงทุนการเงิน เงินออม สุขภาพ ลดหย่อนภาษี มากถึง 300,000฿ คิดถึงผม
พี พสิษฐ์ ปิยพนธ์ปยุต
ผู้จัดการบริหารด้านการเงินมืออาชีพ
0899955069
ID Line  PasitS55
http://line.me/ti/p/~PasitS55
Fan Page คลิ๊ก
https://m.facebook.com/PrudentialS55


บริษัทประกันชีวิต Prudential มีความมั่นคงไหม?

ถ้าถามว่า บริษัท Prudential มีความมั่นคงแค่ไหน?

สามารถวิเคราะห์ได้จาก ทุนจดทะเบียนในประเทศได้ครับ
@
ข้อมูลทุนจดทะเบียนของบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย
(ในส่วนของเงินที่ชำระแล้ว ประจำวันที่ 30 กันยายน 2557)


@
ความมั่นคงของบริษัท Prudential
สาขาใหญ่ที่ @สาธร11
>>> มาขึ้นบ้านใหม่กับครอบครัว Prudential
ที่มา บริษัท: ก่อตั้งที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
มีลูกค้ากว่า 25 ล้านรายทั่วโลก
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (PRU.L)
ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (2377.HK)
ตลาดหลักทรัพย์สิงค์โปร์ (KSS.SG)
และ ตลาดหลัแทรัพย์นิวยอร์ก (PUK.N)
ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 22,202,000,000 ล้านบาท
เปิดเป็นสำนักงานชื่อ บริษัท รชตสิน จำกัด
เป็นที่เรียบร้อย
"พร้อมดูแล ลูกค้าในทุกย่างก้าวของชีวิต"
คิดถึงการลงทุนการเงิน เงินออม สุขภาพ ลดหย่อนภาษี คิดถึงผม

พี พสิษฐ์ ปิยพนธ์ปยุต
ผู้จัดการบริหารด้านการเงินมืออาชีพ
0899955069

ID Line PasitS55

http://line.me/ti/p/~PasitS55
Fan Page คลิ๊ก
https://m.facebook.com/PrudentialS55

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตอนที่หนึ่ง ไม่แปลก – ที่ท่าน ไม่สนใจ “ประกันชีวิต”

แม้จะมี กรมธรรม์ เป็นกระดาษพิมพ์ข้อความ
ระบุคำสัญญาของบริษัทเอาไว้ ให้เรา จับต้องได้
แต่การประกันชีวิตก็ยังคงเป็นสินค้า
ประเภท บริการ ที่ จับต้องไม่ได้ อยู่ดี

ไม่เพียงเท่านั้น ยังเต็มไปด้วยถ้อยคำทางกฎหมายที่สลับซับซ้อน
ยากที่จะทำความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า กำลังพูดถึงอะไร
คุ้มครองหรือยกเว้นเรื่องอะไร
ต้องทำอย่างไรและเมื่อไร จึงจะถูกต้องตรงตามข้อเงื่อนไข และ
ที่สำคัญ ราคา ของความคุ้มครองตามสัญญานี้ควรเป็นเท่าไร
คุ้มค่าของเงินที่จ่ายไปไหม?

ด้วยเหตุผลทั้งสองประการนี้
ก็ถูกต้องแล้วที่ท่านจะบอกกับคนขายประกันว่า “ขอคิดดูก่อน”

แม้ท่านจะ “ขอคิด(หรืออ่าน)ดูก่อน”
ก็ยังคง ไม่ง่าย อยู่ดีที่ท่านจะ คิดพิจารณา อย่างจริงจัง
เพราะการคิดอ่านเกี่ยวกับการประกันชีวิตนั้น ท่านจะต้องคิดคำนึงถึง
สถานการณ์ที่แวดล้อม บริการ ของการประกันชีวิต
ซึ่งได้แก่ การประสบอุบัติเหตุ การเจ็บไข้ ความชรา และ การตาย
ซึ่งคนจำนวนมาก ไม่อยาก แม้เพียงได้ยินคนอื่นเอ่ยถึง
บางคนถึงกับตื่นขึ้นมาร้องไห้ เพียงเพราะ ฝัน ไปว่าคนที่เรารักตายจากไป

แต่ท่านอาจเห็นด้วยกับผมนะครับว่า
หากเราได้เตรียมพร้อมมากขึ้นเพียงใด
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ในอนาคตไว้
เราก็จะยิ่งมีความสุขใจในปัจจุบันได้มากขึ้นเพียงนั้น และ
ยิ่งเราได้เตรียมพร้อมเร็วมากขึ้นเพียงใด
ชีวิตเราก็จะมีความสุขใจเร็วมากขึ้นเพียงนั้น
และเพราะท่านเองก็ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างปราศจากความกังวล
ท่านจึงได้ ขอคิด ดูก่อน ใช่ไหมครับ?

จะเสียหายไหมครับ ถ้าเราจะทำให้หมดกังวล โดยเร็วที่สุด
ในฐานะมืออาชีพด้านการประกันชีวิต
บางทีผมอาจช่วยท่านได้บ้าง แล้วคุยกันนะครับ

คิดถึงการลงทุนการเงิน เงินออม สุขภาพ ลดหย่อนภาษี คิดถึงผม
พี พสิษฐ์ ปิยพนธ์ปยุต
ผู้จัดการบริหารด้านการเงินมืออาชีพ
0899955069
ID Line Wannachaisak
http://line.me/ti/p/~Wannachaisak
Fan Page คลิ๊ก
https://m.facebook.com/PrudentialS55